ทำไมเราไม่ได้ใส่ C-Chains
หลายคนคงเคยสงสัย จัดฟันมาตั้งนานแล้ว แต่ทำไม เรายังไม่ได้ใส่ยางจัดฟันแบบโซ่ที่ชื่อ Power Chains หรือ C-Chains หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า “เชน” บางทีจวนจะได้ถอดเหล็กอยู่แล้ว แต่หมอก็ไม่ใส่เชนให้เสียที
“เธอๆ ได้ใส่เชนหรือยัง”
“ทำไมหมอเธอไม่ใส่เชนให้”
“จัดฟัน ใส่เชนกันตอนไหน”
“จัดฟันมา 2 ปี หมอไม่ใส่เชนให้ ฟันเลยยังไม่เข้า”
ไม่ใช่ทุกคนต้องใส่เชน
คำตอบก็คือ “ไม่ใช่ทุกคนที่จัดฟันจะได้ใส่เชน” เพราะการจะได้ใส่เชนหรือไม่ ใส่ตอนไหน ใส่ยังไง มันก็ขึ้นอยู่กับความผิดปกติในการสบฟันของแต่ละคน แต่ละคนความผิดปกติก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นแผนการรักษา รวมไปถึงวิธีการรักษาจึงไม่เหมือนกัน การใส่เชนก็เลยไม่เหมือนกัน บางคนต้องใส่เยอะๆ ใส่ทั้งฟันบนและฟันล่าง
แต่สำหรับบางคน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เชนเลย ตลอดการรักษา เชนและยางจัดฟันทั้งหลาย คือเครื่องมือแพทย์ การที่จะเอามันไปใช้ ใช้อย่างไร ใส่ตอนไหน ใส่ที่ไหน จะต้องผ่านการคิด วิเคราะห์ และวางแผน ไม่ใช่อยู่ดีๆ คิดจะเอาไปใส่ตรงไหนก็ได้

เชนไม่ใช่เครื่องประดับปาก
เราไม่สามารถเลือกใส่เชนได้ตามใจชอบ เพราะเชนไม่ใช่เครื่องประดับปาก เชนไม่ใช่เครื่องประดับใบหน้า แต่เชนเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ต้องใช้อย่างระวัง เพราะมันมีแรง หากเลือกใส่กันได้ตามใจชอบ อันนั้นคงเป็นการจัดฟันแฟชั่น ไม่ใช่จัดฟันเพื่อการรักษา
เชนไม่ได้ทำให้ฟันเคลื่อนเร็วขึ้น
บางคนเพิ่งติดเครื่องมือได้ไม่นาน ก็อยากให้หมอรีบใส่เชน เพราะคิดว่าการใส่เชน จะช่วยดึงให้ฟันยุบเร็วๆ ซึ่งอันนี้เป็นความเข้าใจผิด บางคนคิดว่า จัดฟันก็มีแค่ดึงฟัน ดึงแรงๆ แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น การดึงฟันสุ่มสี่สุ่มห้า โดยไม่เป็นไปตามขั้นตอน ผลที่ตามมาก็คือ ฟันอาจเคลื่อนผิดทิศผิดทาง

เชนคืออะไร ใส่เชนเพื่ออะไร
เชนคือยางจัดฟันชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นโซ่ หน้าที่ของเชนคือ การให้แรงสำหรับเคลื่อนฟัน เช่น ใช้ดึงฟันที่ห่างให้เข้ามาชิด ป้องกันฟันที่ชิดไม่ให้ห่าง และอื่นๆ แล้วแต่การประยุกต์ใช้งาน เราสามารถใช้เครื่องมืออย่างอื่น เช่น ลวด ยางมัดฟัน แทนเชนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เชนเสมอไป
จุดประสงค์ของการใส่เชน ไม่ใช่เพื่อทำให้ฟันเคลื่อนเร็วขึ้น อย่างที่บางคนเข้าใจ การที่เราไม่ได้ใส่เชน ก็ไม่ได้หมายความว่า หมอกำลังเลี้ยงไข้ ไม่อยากให้ฟันเราเคลื่อนเร็ว (เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกันเลย) หรือลดต้นทุนค่าอุปกรณ์ อย่างที่บางคนเข้าใจผิดและคิดกันไปเอง
จัดฟัน เป็นเรื่องของแรง
การจัดฟัน คือการเคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้แรง ผ่านเครื่องมือจัดฟันแบบต่างๆ ตามหลักชีวกลศาสตร์ (Biomechanics) โดยทันตแพทย์คือผู้ออกแบบและควบคุมทิศทางของแรง การจัดฟันไม่ใช่แค่ติดเหล็ก ใส่ยาง เปลี่ยนยาง ใส่เชน อย่างที่บางคนเข้าใจ เครื่องมือจัดฟันและยางจัดฟันที่เราเห็นอยู่ในปาก เป็นเพียงแค่ปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

จัดฟัน ไม่ได้มีแค่เปลี่ยนยาง
การจัดฟัน ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นจากภายนอกอีกมากมาย สิ่งนั้นก็คือ “แรง” ซึ่งต้องใช้การคิด วิเคราะห์ ออกแบบ และวางแผน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยมองไม่เห็น ลำพังแค่การติดเหล็ก เปลี่ยนยาง ใส่เชน อันนี้ใครก็ทำได้ ไม่ต้องเป็นหมอก็ทำได้ แม่ค้าจัดฟันแฟชั่นก็ทำได้ แต่การจัดฟันเพื่อรักษาการสบฟันที่ผิดปกติ โดยใช้แรงผ่านเครื่องมือจัดฟัน มันเป็นคนละเรื่องกัน จึงไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้
มันคือสิ่งที่เรามองไม่เห็น
แบร็กเก็ตทุกตัว ลวดทุกเส้น ยางทุกเส้น เชนทุกเส้น ล้วนแล้วแต่มี “แรง” ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น (แต่รู้สึกได้) อีกทั้งตำแหน่งการติดของเครื่องมือ ทุกอย่างมีความหมาย และมีความสำคัญหมด หากพูดถึง “แรง” ก็ขอให้นึกถึงลูกโป่ง ที่เมื่อเราบีบให้มันยุบตรงนี้ แต่ลมมันก็จะหนีไปโป่งตรงโน้น ตรงนี้
การใช้เชนก็เช่นกัน เพราะมันมีแรง ตามกฏข้อที่ 3 ของนิวตัน ที่ต้องมีแรงปฏิกริยา ขนาดเท่ากัน แต่มีทิศทางตรงข้าม ซึ่งหากไม่ระวัง ก็อาจส่งผลไปยังฟันซี่อื่น จนเคลื่อนไปอยู่ผิดที่ผิดทาง เหมือนยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งเสียเวลา

ฟันเคลื่อนตำแหน่ง เพราะใส่เชนโดยไม่มีความรู้
เนื่องจากฟันถูกเคลื่อนด้วยแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น การใส่เชนหรือเครื่องมือจัดฟันอื่นๆ โดยที่ไม่มีความรู้ ไม่มีการออกแบบ ไม่มีการควบคุมทิศทางของแรงที่ถูกต้อง สามารถทำให้ฟันเคลื่อนผิดทิศผิดทางจน “พัง” เหมือนการจัดฟันแฟชั่นในภาพด้านบน
เมื่อฟันถูกแรงกระทำ แน่นอนว่ามันต้องเจ็บ ซึ่งนั่นก็ทำให้เราสงสัยว่า คนที่จัดฟันแฟชั่นจนฟันเคลื่อนไปมากๆ ทนเจ็บอยู่ได้อย่างไร ยิ่งสามารถเปลี่ยนยางใส่เชนกันได้ตามใจชอบ มันจะยิ่งเจ็บกันขนาดไหน

