การจัดฟันคืออะไร
ทันตกรรมจัดฟัน (Orthodontics) คือการรักษาความผิดปกติของการสบฟัน การเรียงฟัน รวมไปถึงขากรรไกรและใบหน้า เพื่อให้การกัดและการบดเคี้ยวอาหารดีขึ้น ลดการสึกของฟันที่เกิดจากการสบฟันที่ไม่เหมาะสม ผลพลอยได้จากการจัดฟันคือ ฟันเรียงตัวสวยขึ้น และอาจช่วยให้ใบหน้าดูดีขึ้น
ฟันเคลื่อนได้อย่างไร
การจัดฟัน คือการเคลื่อนฟันไปสู่ตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้แรง ตามกฎพื้นฐานของฟิสิกส์ ซึ่งทันตแพทย์เป็นผู้ออกแบบวิธีใช้แรงดังกล่าว ผ่านเครื่องมือจัดฟันแบบต่างๆ เมื่อมีแรงกดที่ฟัน ทำให้กระดูกรอบรากฟันที่ถูกกดละลายตัว ฟันจึงเคลื่อนไปตามทิศทางนั้น ส่วนด้านตรงข้าม ร่างกายก็จะสร้างกระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทน แบบค่อยเป็นค่อยไป

ทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟัน
เช่นเดียวกันกับแพทย์ ที่จะมีแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ เช่น จักษุแพทย์ กุมารแพทย์ สูตินรีแพทย์ ศัลยแพทย์ แพทย์หู คอ จมูก ฯลฯ ทันตแพทย์ก็มีทันตแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ เช่นกัน
การจัดฟัน เป็นสาขาวิชาหนึ่งของทันตแพทยศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางสาขานี้คือ ทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟัน หรือหมอจัดฟัน (Orthodontists) ซึ่งจะต้องจบปริญญาตรี ทันตแพทย์ทั่วไป 6 ปี จากนั้นต้องจบหลักสูตรจัดฟันโดยเฉพาะอีก 2-4 ปี ในมหาวิทยาลัย และต้องได้รับวุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญจากทันตแพทยสภา ค้นหารายชื่อทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟัน ได้จากเว็บไซต์ของราชวิทยาลัยทันตแพทย์แห่งประเทศไทย
ทันตแพทย์ทั่วไป | ทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟัน |
จบปริญญาตรี ทันตแพทย์ทั่วไป 6 ปี | จบปริญญาตรี ทันตแพทย์ทั่วไป 6 ปี |
จบหลักสูตรทันตแพทย์จัดฟัน 2-4 ปี จากมหาวิทยาลัย ที่ทันตแพทยสภารับรอง | |
ได้รับอนุมัติบัตรหรือวุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขาทันตกรรมจัดฟัน จากทันตแพทยสภา |
ความผิดปกติของการสบฟัน
ความผิดปกติของการสบฟัน (Malocclusion) คือภาวะที่ฟันบนและฟันล่างสบกันอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งส่งผลต่อการบดเคี้ยวอาหาร การออกเสียงพูด ความสวยงามของใบหน้า และสุขภาพช่องปากโดยรวม โดยสาเหตุของความผิดปกติในการสบฟันมีหลายอย่าง เช่น กรรมพันธุ์ ฟันน้ำนมหลุดก่อนเวลาอันควร พฤติกรรมบางอย่างในวัยเด็ก อุบัติเหตุ เป็นต้น

ลักษณะฟันที่ควรจัดฟัน
ความผิดปกติของการสบฟันต่อไปนี้ หลายอย่างพบเห็นได้บ่อย สามารถวินิจฉัย ป้องกัน และแก้ไขได้ ด้วยการรักษาด้านทันตกรรมจัดฟัน
1. ฟันยื่น
ฟันยื่น (Overbite) หรือที่บางคนเรียกว่าฟันเหยิน ลักษณะคือ ฟันหน้ายื่นมากเกินปกติ จนปากอูม และเสี่ยงที่ฟันจะได้รับอุบัติเหตุจากการกระแทก การจัดฟันจะช่วยลดฟันที่ยื่น ทำให้บริเวณรอบปากที่เคยอูมยุบลง ใบหน้าจึงอาจดูเปลี่ยนไปบ้างในคนไข้บางคน


2. ฟันซ้อน
ฟันซ้อน (Crowding) ลักษณะคือ ฟันเรียงไม่เป็นระเบียบ ซ้อนทับกัน บริเวณฟันซ้อนมักทำความสะอาดยาก จนอาจเกิดฟันผุ มีกลิ่นปาก และเสี่ยงต่อโรคเหงือก


3. ฟันห่าง
ฟันห่าง (Spacing) ลักษณะคือ มีช่องว่างระหว่างซี่ฟัน อาจเกิดร่วมกับฟันยื่น เศษอาหารมักเข้าไปติดหรือกระทบตามซอกฟัน ทำให้เจ็บเหงือกเวลากินอาหาร อาจพูดออกเสียงบางคำไม่ชัด มีน้ำลายกระเด็นเวลาพูด


4. ฟันสบเปิด
ฟันสบเปิด (Openbite) ลักษณะคือ เมื่อกัดฟันแล้วปิดไม่สนิท เกิดเป็นช่องหรือโพรงระหว่างฟันบนและฟันล่าง ทำให้กัดอาหารไม่ขาด อาจพูดออกเสียงบางคำไม่ชัดเจน



5. ฟันสบลึก
ฟันสบลึก (Deep bite) ลักษณะคือ ฟันหน้าบนคร่อมปิดฟันหน้าล่างมากเกินไป จนมองแทบไม่เห็นฟันหน้าล่าง หากเป็นมาก ปลายฟันหน้าล่าง จะชนโคนฟันหน้าบนด้านในไปเรื่อยๆ จนทำให้โคนฟันหน้าสึก เจ็บ เสียวฟัน และสร้างความเสียหายต่อรากฟันหน้าได้


6. ฟันสบคร่อม
ฟันสบคร่อม (Crossbite) ลักษณะคือ ฟันล่างซี่เดียวหรือหลายซี่ สบคร่อมทับฟันบน หากเป็นในเด็กควรรีบรักษา เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้หน้าเบี้ยว หรือเกิดความผิดปกติบริเวณข้อต่อขากรรไกร


7. ฟันหาย
ฟันหาย เพราะฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกร (Embedded teeth) ไม่สามารถขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ หากลูกหลานฟันแท้หาย ขึ้นไม่ครบ ผู้ปกครองควรพามาพบทันตแพทย์จัดฟัน เพราะการจัดฟันอาจช่วยดึงฟัน ให้งอกขึ้นมาได้ ลูกหลานของเราจะได้ไม่ต้องเป็นคนฟันหลอ ไม่ต้องใส่ฟันปลอมหรือรากฟันเทียม



8. ฟันประสบอุบัติเหตุ
หากเกิดอุบัติเหตุ จนทำให้ฟันบางซี่หายไป ในบางกรณี ทันตแพทย์จัดฟันอาจดึงฟันซี่ข้างเคียง มาปิดช่องฟันที่หายไปได้ ทำให้ไม่ต้องใส่ฟันปลอมหรือรากฟันเทียม


9. ขากรรไกรผิดปกติ
การสบฟันที่ผิดปกติบางอย่าง มีสาเหตุมาจากกระดูกขากรรไกรร่วมด้วย ทำให้คางยื่น หน้าเบี้ยว ยิ้มเห็นเหงือก การจัดฟันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จำเป็นต้องผ่าตัดขากรรไกรร่วมด้วย



จัดฟัน การรักษาต่อเนื่องที่ต้องใช้เวลา
ขั้นตอนการจัดฟัน ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนหลักๆ คือ
- ใส่เครื่องมือจัดฟัน เพื่อเคลื่อนฟัน ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
- ใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน เพื่อคงสภาพฟันที่จัดฟันไว้ให้นานที่สุด
ขั้นตอนการจัดฟัน
- พบทันตแพทย์ เพื่อตรวจเบื้องต้น หากพบข้อบ่งชี้ที่สมควรจะจัดฟัน ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการทำประวัติคนไข้จัดฟัน
- ทำประวัติคนไข้จัดฟัน ได้แก่ พิมพ์ปากเพื่อสร้างแบบจำลองฟัน และเอกซเรย์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับวางแผนการรักษา
- เตรียมช่องปาก คือการรักษาโรคในช่องปาก เช่น ขูดหินปูน อุดฟัน และอื่นๆ เพื่อให้พร้อมสำหรับการจัดฟัน
- ติดเครื่องมือจัดฟัน ถ้าใช้เครื่องมือแบบติดแน่น หากใช้เครื่องมือแบบใส ก็รับชิ้นเครื่องมือ
- ปรับเครื่องมือจัดฟัน เพื่อเคลื่อนฟันไปสู่ตำแหน่งที่เหมาะสม โดยทั่วไป จะนัดทุก 4-6 สัปดาห์ เป็นเวลา 2-3 ปี หรือนานกว่า จนกว่าจะจัดฟันเสร็จ
- เมื่อจัดฟันเสร็จ ก็จะพิมพ์ปาก เพื่อทำเครื่องมือคงสภาพฟัน
- ถอดเครื่องมือจัดฟัน และใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน หรือรีเทนเนอร์ (Retainers) เพื่อคงสภาพฟันที่จัดไว้
อายุเท่าไหร่ควรเริ่มจัดฟัน
การจัดฟัน สามารถเริ่มได้ที่อายุประมาณ 12 ปี แต่เด็กควรได้รับการตรวจเบื้องต้น เมื่ออายุประมาณ 7-8 ปี สำหรับผู้ใหญ่อายุ 30-50 ปี ก็สามารถจัดฟันได้ หากมีสุขภาพช่องปากดีพอ
จัดฟัน ใช้เวลากี่ปี
จัดฟัน เป็นการรักษาต่อเนื่องที่ใช้เวลานาน โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี หรืออาจนานกว่านี้ ขึ้นอยู่กับระดับความผิดปกติของการสบฟัน ขึ้นอยู่กับระดับการตอบสนองต่อการรักษาของร่างกาย และระดับการให้ความร่วมมือในการรักษาของตัวคนไข้เอง หลังถอดเครื่องมือจัดฟันแล้ว คนไข้ยังต้องใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน ตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อคงสภาพฟันที่จัดไว้

จัดฟัน เจ็บไหม
มีเจ็บบ้าง เนื่องจากการจัดฟันต้องใช้แรงกระทำต่อกระดูกรอบรากฟัน จนเกิดการอักเสบและทำให้กระดูกรอบรากฟันละลายตัว ฟันจึงเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการได้ เมื่อมีแรงกดและเกิดการอักเสบ ก็ยอมเกิดอาการตึงฟันและมีเจ็บบ้างเป็นธรรมดา โดยอาการเจ็บดังกล่าว มักจะเกิดหลังปรับเครื่องมือ 2-3 วัน หลังจากนั้นก็จะดีขึ้นเอง อาการเจ็บก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้รุนแรงจนทนไม่ไหว
จัดฟัน ถอนฟันเพื่ออะไร
การจัดฟัน เป็นการเคลื่อนฟันบนกระดูกขากรรไกร หากไม่มีช่องว่าง เพราะฟันเบียดกันแน่น ก็จะไม่สามารถเคลื่อนฟันไปไหนได้ ดังนั้นจึงต้องถอนฟัน 1-4 ซี่ เพื่อให้เกิดช่องว่างดังกล่าว แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จัดฟันต้องถอนฟัน บางกรณีก็สามารถจัดฟันได้ โดยไม่ต้องถอนฟัน




จัดฟันหน้าเรียว จัดฟันหน้าเปลี่ยน
คนไข้ที่มีฟันหน้ายื่นมาก เมื่อจัดฟันร่วมกับถอนฟัน หลังจัดฟันเสร็จ ฟันหน้าจะยุบลง บริเวณรอบปากจึงยุบลงตามไปด้วย หน้าจึงดูเปลี่ยนไป
แต่เนื่องจากบริเวณปากและฟัน คิดเป็นพื้นที่ถึง 1/3 ของใบหน้า จึงอาจเห็น “การยุบ” ได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาแบบนี้ ก็ไม่ได้เกิดกับผู้ที่จัดฟันทุกคน สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีฟันหน้ายื่นมาก ก็อาจไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ดังนั้นจึงไม่ควรคาดหวัง ผลการรักษาดังกล่าวมากจนเกินจริง


เครื่องมือจัดฟันมีกี่แบบ
เครื่องมือจัดฟัน (Braces) มี 2 แบบคือ แบบติดแน่นและแบบถอดได้ แบบติดแน่นก็เช่น เครื่องมือโลหะมัดยาง เครื่องมือโลหะแบบไม่มัดยาง ส่วนเครื่องมือแบบถอดได้ก็เช่น เครื่องมือจัดฟันแบบใส เป็นต้น เครื่องมือแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน คนไข้สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ และตามคำแนะนำของทันตแพทย์


เครื่องมือจัดฟันแบบไหนดีที่สุด
ผลลัพธ์ของการจัดฟัน ขึ้นอยู่กับระดับความรู้และประสบการณ์ของทันตแพทย์ ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา รวมไปถึงการให้ความร่วมมือในการรักษาของตัวคนไข้เอง เครื่องมือจัดฟันทั้งหลาย ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือ ที่ทันตแพทย์จะเลือกมาใช้ให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน
ดังนั้น “เรื่องความรู้และประสบการณ์ของทันตแพทย์” จึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ มากกว่าเรื่องเครื่องมือจัดฟัน
รีเทนเนอร์คืออะไร
เครื่องมือคงสภาพฟัน (Retainers) หรือที่เรียกทับศัพท์ว่า “รีเทนเนอร์” คืออุปกรณ์จัดฟันชนิดหนึ่ง ถูกออกแบบและผลิตขึ้นเป็นของคนไข้แต่ละโดยเฉพาะ ใช้สำหรับคงสภาพฟันที่ได้จัดไว้ หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันออกไปแล้ว รีเทนเนอร์มีทั้งแบบถอดเข้าออกได้และแบบติดแน่น แบบถอดเข้าออกได้ก็มีทั้งแบบลวดและแบบใส รีเทนเนอร์มีอายุการใช้งานจำกัด สามารถเสียหายแตกหักได้ จึงต้องทำใหม่เมื่อจำเป็น

ทำไมต้องใส่รีเทนเนอร์
เมื่อฟันเคลื่อนไปสู่ตำแหน่งใหม่ กระดูกและเนื้อเยื่อโดยรอบที่รองรับฟัน ที่ผ่านทั้งการสร้างและทำลาย จะยังไม่แข็งแรงพอ ดังนั้นเมื่อถอดเครื่องมือจัดฟันออก ฟันก็จะพยายามเคลื่อนกลับตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะใน 1 ปีแรกหลังถอดเครื่องมือจัดฟัน ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องใส่รีเทนเนอร์ เพื่อคงสภาพฟัน ให้อยู่ในตำแหน่งที่ได้จัดฟันไว้นั่นเอง
ต้องใส่รีเทนเนอร์นานแค่ไหน
หลังถอดเครื่องมือจัดฟัน ให้ใส่รีเทนเนอร์ตลอดเวลา นานประมาณ 1-2 ปี ถอดได้เฉพาะเวลากินอาหารและแปรงฟัน เมื่อผ่าน 1-2 ปีแรกไปแล้ว ก็สามารถลดความถี่ในการใส่ได้ อาจใส่เฉพาะตอนนอน 3-5 คืนต่อสัปดาห์ โดยใส่แบบนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
อยากมีฟันสวยนานแค่ไหน ก็ใส่รีเทนเนอร์แบบนี้ให้นานแค่นั้น

ข้อเสียของการจัดฟัน
การจัดฟัน คือการรักษาทางการแพทย์ มีผลดีต่อคุณภาพชีวิตของคนไข้หลายอย่าง แต่การจัดฟันก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน แม้ข้อเสียส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ในมุมมองของคนไข้ สิ่งที่อาจเป็นข้อเสียสำคัญที่สุดก็คือ ผลการจัดฟันไม่ได้อยู่แบบถาวร คนไข้จำเป็นต้องใส่รีเทนเนอร์ เพื่อคงสภาพฟันที่ได้จัดไว้
จัดฟัน เป็นการรักษาแบบองค์รวม
การจัดฟัน เป็นการรักษาแบบองค์รวม คือดูภาพรวมทั้งปาก ดูการเรียงตัวของฟัน ดูเรื่องความสวยงาม และก็ต้องดูด้วยว่า ฟันบนและฟันล่างสบกันอย่างไร สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ไม่ใช่ดูแค่ฟันบางซี่ หรือดูแค่การเรียงตัวของฟัน อย่างที่หลายคนเข้าใจ
อย่าลืมความจริงที่ว่า หน้าที่หลักของฟัน คือการบดเคี้ยวอาหาร ไม่ใช่มีแค่เรื่องความสวยงามเพียงอย่างเดียว ดังนั้นผลการจัดฟันที่ได้ตามมาตรฐาน จะต้องได้ทั้งเรื่องการใช้งานและความสวยงาม